สมาร์ททีวี (Smart TV) ยี่ห้อไหนดี?

สมาร์ททีวี (Smart TV) ที่ดีที่สุด
สมาร์ททีวี (Smart TV) ที่ดีที่สุด

“สมาร์ททีวี” เป็นทีวีที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบันเพราะสามารถใช้งานได้หลากหลายและครบวงจร ปกติแล้วสมาร์ททีวีจะทำงานบนระบบปฏิบัติการที่คล้ายกับสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ซึ่งระบบนี้ก็สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ วิธีนี้จะช่วยให้คุณเข้าถึงเว็บไซต์สตรีมมิ่ง เช่น YouTube, Netflix และเข้าถึงเว็บอื่น ๆ เช่น โซเชียลมีเดีย คุณสมบัติที่โดดเด่นที่หลายคนสนใจสมาร์ททีวีก็คือตัวเครื่องสามารถแคสต์อุปกรณ์ได้ ซึ่งคุณสามารถจำลองหน้าจอของอุปกรณ์สมาร์ทโฟนไปยังทีวีได้ซึ่งสะดวกกว่าการใช้รีโมตมาก ปัจจุบันสมาร์ททีวีมักจะเป็นสิ่งแรกที่หลายคนมักจะนึกถึงเมื่อต้องซื้ออุปกรณ์มอบความบันเทิง ซึ่งทีวีแบบเก่า ๆ นั้นมักจะไม่มีคนซื้อกันแล้ว เนื่องจากการใช้งานมีความยุ่งยากต้องเชื่อมต่อกับกล่องหรือจานดาวเทียมเพื่อให้รับชมทีวีได้หลาย ๆ ช่อง แต่หากคุณซื้อสมาร์ททีวีเรื่องนั้นจะไม่จำเป็นกับคุณอีกต่อไปเพราะเพียงแค่คุณมี WiFi Bluetooth หรือมีแอปพลิเคชัน คุณก็สามารถรับชมความบันเทิงได้โดยไม่มีขีดจำกัด

แต่แน่นอนว่าการซื้อสมาร์ททีวีไม่ง่าย เพราะแต่ละยี่ห้อก็มีจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกัน อย่าเพิ่งกังวลไปเลยค่ะเรามีคำแนะนำในการซื้อเลือกสมาร์ททีวีมาให้คุณ พร้อมแนะนำสมาร์ททีวีรุ่นที่ดีที่สุดในตลาดตอนนี้ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเลย

ซื้อ สมาร์ทีวี ยี่ห้อไหนดีและเหมาะกับคุณ ปี 2021

[summary item=”4476,4478,4480,4483,4485,4487″]

สมาร์ททีวี คืออะไร?

“สมาร์ททีวี” คือโทรทัศน์ที่สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตและเว็บเบราว์เซอร์ได้ แต่จุดสำคัญที่สุดที่ผู้คนมักจะนิยมซื้อสมาร์ททีวีก็คือตัวเครื่องสามารถใช้บริการสตรีมออนไลน์ เช่น Netflix, YouTube, Disney+ Hotstar และ Spotify หากคุณเคยใช้บางบริการบางอย่าง เช่น Apple TV หรือ Chromecast แสดงว่าคุณคงคุ้นเคยกับความสามารถของอุปกรณ์เหล่านี้อยู่แล้วเนื่องจากสมาร์ททีวีก็มีการทำงานที่คล้ายคลึงกับบริการที่ได้กล่าวมาข้างต้นค่ะ ความแตกต่างของทีวีทั่วไปและสมาร์ททีวีก็คือ ทีวีแบบเก่าจะแสดงเนื้อหาของทีวีโดยต้องพึ่งพาเสาอากาศ HDTV, เคเบิลหรือแหล่งสัญญาณ A/V อื่น ๆ แต่สมาร์ททีวีนั้นมีโพรเซสเซอร์ที่ทรงพลัง มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและซอฟต์แวร์ที่ใช้งานง่าย ทีวีสมัยใหม่จึงเป็นเหมือนสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตที่มีความสามารถมากกว่าทีวีทั่วไป สมาร์ททีวีมีลักษณะเช่นเดียวกับสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์สมาร์ทโฮม เพราะตัวเครื่องมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและรองรับแอปต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้สมาร์ททีวีบางเครื่องยังสามารถสั่งการด้วยเสียงได้ โดยระบบ Amazon Alexa หรือ Google Assistant

สำหรับการสลับช่องสัญญาณและค้นหาโปรแกรม สมาร์ททีวีส่วนใหญ่จะทำงานร่วมกับลำโพงอัจฉริยะเพื่อให้เสียงดังและฟังชัดมากยิ่งขึ้น  นอกจากนี้สมาร์ททีวีบางเครื่องยังมาพร้อมกับคุณสมบัติสมาร์ทโฮมที่สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ ได้ดีอีกด้วย

[product_table item=”4476,4478,4480,4483,4485,4487″]

คุณสมบัติหลักที่ควรพิจารณาในการเลือกซื้อ

1. ขนาดของหน้าจอ

สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาเมื่อซื้อสมาร์ททีวีก็คือขนาดหน้าจอ ขนาดหน้าจอจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่คุณต้องการวาง ขนาดห้อง และจำนวนคนที่จะรับชมในเวลาที่กำหนด ในการซื้อสมาร์ททีวีคุณสามารถวัดระยะห่างจากเตียง เก้าอี้ หรือโซฟาจากทีวีเพื่อค้นหาขนาดหน้าจอโดยประมาณที่ต้องการได้ ถ้าระยะการรับชมน้อยกว่า 1.5 เมตรให้เลือกทีวีขนาด 32 นิ้ว หากระยะห่างอยู่ระหว่าง 1.5 – 1.8 เมตรให้เลือกซื้อสมาร์ททีวี 43 นิ้ว สำหรับสมาร์ททีวี 46 หรือ 50 นิ้วยังเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการดูทีวีที่มีระยะห่าง 1.8 – 2 เมตร สำหรับระยะทางการรับชมที่มากกว่า 2.5 เมตร คุณสามารถซื้อทีวี 50 และ 55 นิ้วได้ โดยปกติทีวีขนาด 40 นิ้วจะเหมาะกับห้องนั่งเล่น อย่างไรก็ตามหากคุณมีห้องขนาดใหญ่จะดีกว่าหากใช้ทีวีขนาด 46-50 นิ้วขึ้นไป แต่แน่นอนค่ะว่าการซื้อทุกอย่างไม่มีการบังคับ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณพอใจ เพราะขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น ทีวีก็จะยิ่งมีราคาสูงขึ้นเช่นกัน

2. หน้าจอของทีวี 

สมาร์ททีวีมีหน้าจอประเภทต่าง ๆ มากมายให้เราได้เลือกซื้อ ซึ่งหน้าจอทั้งหมดทำงานในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน เทคโนโลยีแต่ละอย่างมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกัน ดังนั้นนี่คือจุดสำคัญพื้นฐานบางประการที่ต้องพิจารณา

  • LED TV: Direct LED จอแสดงผลเหล่านี้ได้รับแสงพื้นหลังจากอาร์เรย์ของ LED (ไดโอดเปล่งแสง) ที่ด้านหลังหน้าจอโดยตรงจึงช่วยให้สามารถหรี่แสงเฉพาะที่ได้ ซึ่งหมายถึงตัวเครื่องจะแสดงผลได้ดีทั้งในพื้นที่ที่มีความสว่างและความมืด นอกจากนี้ทีวี LED ยังประหยัดพลังงานและมีช่วงสีที่ชัดเจนกว่า แต่เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูงในการติดตั้งระบบอาร์เรย์ ทีวีราคาถูกจึงมักจะใช้หน้าจอ Edge-Lit LED แทนหน้าจอ LED แบบ Direct หรือ Full-Array
  • LED TV: Edge LED สำหรับทีวีเหล่านี้ไฟ LED ของแบ็คไลท์จะติดตั้งอยู่ที่ขอบของแผงควบคุม การจัดวางแบบนี้ทำให้ได้จอแสดงผลสวยงามและให้ระดับคอนทราสต์ที่เหนือกว่าระบบทั่วไปเล็กน้อย แต่หน้าจอแบบนี้ไม่มีประสิทธิภาพหากเทียบกับ Direct LED แต่หน้าจอทีวีนี้มีราคาถูกมาก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ทีวี LED ส่วนใหญ่ในปัจจุบันใช้เทคโนโลยีนี้
  • OLED TV ไฟแบ็คไลท์บนชุด OLED ทำได้โดยการส่งกระแสไฟฟ้าผ่านฟิล์มเรืองแสงที่เปล่งแสงออกมา เทคนิคนี้ให้สีของทีวีได้ดีกว่า ให้คอนทราสต์สูงและยังช่วยให้หน้าจอของทีวีมีความบางและยืดหยุ่นเป็นพิเศษอีกด้วย นี่คือเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สมาร์ททีวีแบรนด์ LG, Sony, Philips และ Panasonic ได้นำมาใช้
  • QLED (Quantum Dot) QLED หรือ Quantum Dot LED TV เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างระบบ OLED และระบบ LED เทคโนโลยีหน้าจอใหม่นี้ใช้เลเยอร์จุดควอนตัมระหว่างไฟพื้นหลัง LED และเลเยอร์ LCD ส่งผลให้ได้สีและความสว่างที่ดีกว่าระบบ LED Quantum Dot เป็นระบบภาพที่เป็นเอกลักษณ์ของสมาร์ททีวี Samsung ที่มักจะทำงานร่วมกับ LED TV เทคโนโลยีนี้สามารถผลิตภาพที่มีสีสันได้ดีมากกว่า อีกทั้งยังมีความคมชัดที่เหนือชั้นกว่าอีกด้วย นอกจากนี้ทีวีเหล่านี้ยังมีสีสันที่สดใสมาก ๆ เหมาะสำหรับการใช้ดูหนังมาก

3. เทคโนโลยีคุณภาพเสียง

  • Dolby : ระบบเสียงแบบนี้มักจะมาพร้อมเสียงเซอร์ราวด์ 5 ช่องสัญญาณ เสียงดิจิตอลนี้ได้อำนวยความสะดวกในการแปลงสัญญาณเสียงเป็นรูปแบบดิจิตอลผ่านการเข้ารหัส ดังนั้นเราจะได้รับประสบการณ์ด้านเสียงที่ดี สมาร์ททีวีในปัจจุบันมักจะใช้ระบบนี้ ทำให้มีความชัดเจนของเสียงที่ดีมาก ดังนั้นเมื่อเปิดสมาร์ททีวีที่มีระบบเสียงนี้จะทำให้คุณได้รับความสนุกสุดมันเมื่อดูหนังนั่นเอง
  • DTS : ระบบเสียง DTS มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับระบบ Dolby ในการผลิตเสียงเซอร์ราวด์ ในตอนเริ่มต้น DTS จะผลิตเสียงผ่านรูปแบบเสียงเซอร์ราวด์หลายรูปแบบ เริ่มจาก 5 ช่อง ไปจนถึง 7 ช่องทำให้เสียงมีความคมชัดพอ ๆ กับระบบ Dolby หากคุณต้องการระบบเสียงแบบนี้ให้มองหาคำย่อในทีวี เช่น DTS, DTS HD เป็นต้น

4. เทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกในการเชื่อมต่อ

การเชื่อมต่อเป็นสิ่งที่ทำให้สมาร์ททีวีรุ่นปัจจุบันมีความฉลาด “การเชื่อมต่อ” ที่เราพูดถึงเราหมายถึงการมีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เพราะการจะดูทีวีให้มีประสิทธิภาพนั้นทีวีจะต้องให้ความบันเทิงสูงสุดผ่านสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อนำเนื้อหาที่มีอยู่บนอินเทอร์เน็ตไปยังทีวีหน้าจอขนาดใหญ่ของ ของคุณ โดยการเชื่อมต่อนั้นมีหลายวิธีมากโดยคุณสามารถมองหาได้ดังนี้ค่ะ

  • Chromecast : ตอนนี้สมาร์ททีวีส่วนใหญ่มาพร้อมกับ Chromecast ในตัว คุณสามารถใช้ผ่านสมาร์ทโฟน แท็บเล็ตหรือคอมพิวเตอร์เพื่อเข้าถึงเนื้อหาเสียง วิดีโอและดูบนหน้าจอทีวีของคุณได้ เป็นการดีที่คุณไม่ต้องลำบากมากในการเข้าถึง YouTube, Netflix, Amazon Prime, Google Play, HotStar ฯลฯ เพราะรีโมคคอนโทรลของระบบนี้มักจะมาพร้อมกับปุ่มเฉพาะเพื่อให้เข้าถึงความบันเทิงได้ง่ายในคลิกเดียว
  • Bluetooth : Bluetooth เป็นอีกวิธีหนึ่งในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและค่อนข้างมีประสิทธิภาพ คุณยังสามารถใช้เพื่อเชื่อมต่อทีวีของคุณกับลำโพงเพื่อเพลิดเพลินกับเสียงเพลงที่ไพเราะ วิธีการใช้งานของ Bluetooth ยังคงเหมือนเดิม เพียงจับคู่อุปกรณ์ที่คุณต้องการเชื่อมต่อ เมื่อจับคู่อุปกรณ์แล้วคุณสามารถดูเนื้อหาบนอินเทอร์เน็ตได้อย่างง่ายดายบนโทรทัศน์โดยใช้อุปกรณ์ที่จับคู่ (การ์ดข้อมูล สายเคเบิลข้อมูล ฯลฯ) หากต้องการคุณยังสามารถจำลองการแสดงผลของสมาร์ทโฟนหรือแล็ปท็อปบนหน้าจอทีวีที่ใหญ่ขึ้นเพื่อเพลิดเพลินกับภาพที่ใหญ่ขึ้นและมีคุณภาพสูงมากขึ้นนั่นเอง
  • พอร์ต HDMI และ USB : พอร์ต HDMI และ USB มักจะมีให้ในทีวีเพื่อรองรับอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น การ์ดข้อมูลหรือสายเคเบิลข้อมูล คุณสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์และเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้โดยใช้พอร์ตเหล่านี้

เมื่อทีวีของคุณเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตแล้ว คุณสามารถชมภาพยนตร์ วิดีโอ รายการโทรทัศน์ ฯลฯ ได้ตามต้องการ ด้วยการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ทางเลือกของคุณจึงไร้ขีดจำกัด และหากคุณชอบการเล่นเกมมากสมาร์ททีวีก็มีเกมคอนโซลเช่นกัน นอกจากนี้คุณยังสามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันนับร้อยผ่าน Google Play Store นั่นเอง

5. โพรเซสเซอร์

เช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ทีวีก็มีชิปโพรเซสเซอร์สำหรับประมวลผลวิดีโอเช่นกัน ยิ่งโพรเซสเซอร์มีประสิทธิภาพมากเท่าใด ผลการประมวลผลวิดีโอก็จะยิ่งดีขึ้นและเร็วขึ้นเท่านั้น หากโพรเซสเซอร์ไม่มีประสิทธิภาพเราจะเห็นผลกระทบของโพรเซสเซอร์ในปัญหาต่าง ๆ เช่น การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในภาพที่สโลว์โมชั่นหรือมีภาพเบลอเป็นต้น โพรเซสเซอร์มีความสามารถในการตรวจจับแสงโดยรอบในห้องที่ติดตั้งทีวีของคุณ หลังจากตรวจพบแล้วโพรเซสเซอร์จะปรับระดับความสว่างเพื่อให้มองเห็นภาพได้ชัดเจน

6. ความละเอียดของหน้าจอ

ความละเอียดหน้าจอเป็นตัวกำหนดจำนวนพิกเซลบนหน้าจอ หากทีวีที่มีความละเอียดที่สูงขึ้นหมายถึงจำนวนพิกเซลและคุณภาพของภาพที่คมชัดยิ่งขึ้น ปัจจุบันเราไม่แนะนำให้ซื้อสมาร์ททีวีที่รองรับ HD แต่ให้เลือกใช้ระบบ Full-HD หรือ 4K แทนหากงบประมาณของคุณเอื้ออำนวย ระบบUltra-HD (4K) มีจำนวนพิกเซลมากกว่า Full-HD ถึง 4 เท่า ดังนั้นวัตถุบนหน้าจอจะดูสมบูรณ์และมีรายละเอียดมากขึ้น ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีตอนนี้เรายังมีทีวีที่มีความคมชัดถึง 8K ด้วย นอกจากนี้ คุณควรตรวจสอบว่าทีวีมี HDR หรือไม่ HDR หรือ High Dynamic Range ที่จะช่วยเพิ่มสีสัน เพิ่มระดับคอนทราสต์ที่มากขึ้นและให้ความสว่างที่เพิ่มขึ้นด้วย ทีวี 4K ส่วนใหญ่รองรับมาตรฐาน HDR10 ซึ่งจะทำให้มีสีที่ชัดมาก

7. Refresh Rate

อัตราการรีเฟรชคือจำนวนครั้งที่จอจะแสดงผลเนื้อหาต่อวินาที อัตรารีเฟรชเรตถูกกำหนดเป็นเฮิรตซ์ (Hz) อัตราการรีเฟรชมาตรฐานสำหรับการแสดงทีวีคือ 60Hz อย่างไรก็ตามหากคุณซื้อทีวีราคาแพง คุณควรมองหาตัวเลขที่สูงกว่า อัตราการรีเฟรชที่สูงขึ้น เช่น 90Hz, 120Hz, 144Hz หรือมากกว่า อัตรารีเฟรชที่มากกว่าจะให้การเคลื่อนไหวที่ราบรื่นยิ่งขึ้น คุณจะไม่เห็นความพร่ามัวในภาพที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว คุณสมบัตินี้ไม่ใช่คุณสมบัติที่ต้องมี แต่เป็นสำคัญหากคุณวางแผนที่จะเล่นเกมหรือใช้ทีวีเป็นจอภาพสำหรับคอมพิวเตอร์ของคุณ