วิธีรักษารอยแผลเป็น ให้จางหายไป !

วิธีรักษารอยแผลเป็น
วิธีรักษารอยแผลเป็น

ในขณะที่บางคนคิดว่า รอยแผล เป็นนั้นเป็นรอยแห่งความภาคภูมิใจ แต่มีหลายคนก็แค่อยากให้มันจางหายไป เนื่องจากรอยแผลเป็นเหล่านี้ อาจส่งผลต่อรูปลักษณ์ของคุณได้ หากคุณต้องการกำจัดรอยแผลเป็น คุณต้องเข้าใจก่อนว่า แผลเป็นคืออะไร? และแผลเป็นที่คุณกำลังพยายามกำจัดอยู่นั้นเป็น แผลเป็นประเภทใด? แผลเป็นเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการรักษาตามธรรมชาติหลังจากที่คุณได้รับบาดเจ็บ เมื่อผิวหนังชั้นหนังแท้ซึ่งเป็นชั้นที่สองได้รับความเสียหาย ร่างกายของคุณจะสร้างเส้นใยคอลลาเจนขึ้นมา เพื่อซ่อมแซมความเสียหายนั้น และนี่ส่งผลให้เกิดแผลเป็น (1)

กระบวนการรักษานี้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาเมื่อผิวหนังมีแผล ไม่ว่าจะถูกน้ำร้อนลวก อุบัติเหตุ ความเสียหายจากโรค หรือภาวะอื่น ๆ อย่างสิว ในขณะที่ผิวหนังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในการรักษาและปิดบาดแผล แต่คอลลาเจนใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อมาซ่อมแซมผิวหนังส่วนที่เสียหาย ในบางบาดแผลมันก็ถูกสร้างขึ้นมากเกินไป สิ่งนี้ทำให้เกิดรอยแผลเป็น ซึ่ง รอยแผลเป็น เป็นปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังที่รักษาได้ยากที่สุด แม้ว่าในปัจจุบันเราจะสามารถลดรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นใหม่ได้ แต่พวกรอยแผลเป็นเก่านั้นยากที่จะกำจัดออกไป แม้ว่าวิธีการรักษาทางธรรมชาติหลายวิธีจะอ้างว่า สามารถลดหรือกำจัดรอยแผลเป็นได้ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มายืนยันว่าได้ผลจริง ในวันนี้เราเลยอยากจะมาแนะนำวิธีลดรอยแผลกันค่ะ อาจจะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบแผลเป็นของคุณค่ะ

แผลเป็นเกิดขึ้นได้อย่างไร?

รอยแผลเป็น จะเกิดขึ้นเมื่อผิวหนังชั้นหนังแท้ (ชั้นผิวหนังที่ลึกและหนา) ได้รับความเสียหาย หลังจากนั้นร่างกายจะสร้างเส้นใยคอลลาเจนใหม่ (โปรตีนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในร่างกาย) เพื่อรักษาความเสียหายส่งผลให้เกิดแผลเป็น เนื้อเยื่อแผลเป็นที่สดใหม่จะมีเนื้อสัมผัสที่แตกต่างจากเนื้อเยื่อที่อยู่รอบ ๆผิวหนัง ซึ่งแน่นอนว่ารอยแผลเป็นจะเกิดขึ้นหลังจากแผลหายสนิท (1) แผลเป็น มีหลายประเภท แต่แผลเป็นส่วนใหญ่จะมีลักษณะแบน ๆ และมีสีซีด แต่อย่างไรก็ตามในกรณีที่ร่างกายผลิตคอลลาเจนออกมามากเกินไป อาจเกิดรอยแผลเป็นที่นูนขึ้นได้ โดย แผลเป็นนูน เรียกว่า Hypertrophic Scars หรือ Keloid Scars แผลเป็นทั้งสองประเภทนี้พบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุน้อยและมีผิวคล้ำ (2)

ส่วนแผลเป็นบางชนิดอาจมีลักษณะจมลงไป หรือเป็นหลุม แผลเป็นประเภทนี้เกิดขึ้นเมื่อโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับผิวหนัง (เช่น ไขมันหรือกล้ามเนื้อ) หายไป บางรอยแผลเป็นอาจจะเกิดจากการผ่าตัดซึ่งอาจจะมีลักษณะเช่นเดียวกับรอยแผลเป็นจากสิว นอกจากนี้รอยแผลเป็นยังสามารถปรากฏเป็นผิวแตกลาย ซึ่งรอยแผลเป็นดังกล่าวส่งผลให้ผิวหนังยืดออกอย่างรวดเร็วค่ะ

รูปแบบแผลเป็นประเภทต่าง ๆ

  • แผลเป็นชนิดหลุม (Atrophic) แผลเป็นชนิดหลุมจะมีการสูญเสียเนื้อเยื่อ แผลเป็นชนิดนี้จะดูหด เป็นรอยหยักหรือแบนแนบกับชั้นบนของผิวหนัง บ่อยครั้งที่รอยแผลเป็นจากแผลเป็นนี้จะมีสีผิวคล้ำกว่าบริเวณอื่น ๆ ของผิวหนังของคุณ ตัวอย่างของ แผลเป็นชนิดนี้ได้แก่แผลเป็นจากสิวและแผลเป็นจากอีสุกอีใส (1),(3)
แผลเป็นชนิดหลุม (Atrophic)
  • แผลเป็นนูน (Hypertrophic) แผลเป็นนูนมีลักษณะเป็นเนื้อเยื่อส่วนเกินที่ก่อตัวขึ้นเหนือผิวหนัง มันแตกต่างจากแผลเป็นคีลอยด์ก็คือไม่เติบโตนอกบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ แผลเป็นแบบนี้มักมีสีเข้มกว่าผิวหนังส่วนอื่นในบริเวณนั้น (2),(3)
แผลเป็นนูน (Hypertrophic)
  • แผลเป็นคีลอยด์ (Keloid) แผลเป็นคีลอยด์เป็นผลมาจากร่างกายผลิตเนื้อเยื่อมากเกินไป มีลักษณะนูนขึ้น หนาและมีลักษณะพองตัว โดยทั่วไปแล้วจะมีสีเข้มกว่าผิวหนังโดยรอบ ซึ่งแตกต่างจากแผลเป็นนูน เพราะแผลเป็นคีลอยด์สามารถเติบโตเกินบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บได้ (1),(3)
แผลเป็นคีลอยด์ (Keloid)
  • แผลเป็นจากการหดรั้ง (Contracture) รอยแผลเป็นจากการหดรั้งเป็นผลมาจากการที่ผิวหนังส่วนใหญ่สูญเสียหรือได้รับความเสียหายโดยปกติจะมาจากการไหม้ มีลักษณะผิวตึงและมันวาวซึ่งผิวจะตึงมาก ในบางรายอาจจะไม่สามารถขยับผิวที่ตึงนั้นได้ (1)
แผลเป็นจากการหดรั้ง (Contracture)

วิธีรักษาแผลเป็น

แม้ว่าแผลเป็นจะไม่สามารถลบออกได้ทั้งหมด แต่รูปลักษณ์ของมันก็สามารถดีขึ้นและจางหายไปได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งวิธีการในการปรับปรุงลักษณะของรอยแผลเป็น ได้แก่

  • รักษาด้วยวิธีธรรมชาติ การรักษาด้วยวิธีธรรมชาติเป็นวิธีการรักษาเฉพาะที่ โดยการใช้สารสกัดจากธรรมชาติอย่าง วิตามินอี โกโก้บัตเตอร์ และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวทั่วไปอย่างเช่น วาสลีนที่ขายตามเคาน์เตอร์ ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อาจมีประสิทธิภาพในการช่วยรักษารอยแผลเป็นได้บ้าง
  • ศัลยกรรม แม้ว่าจะไม่สามารถลบรอยแผลเป็นได้ แต่สามารถใช้การผ่าตัดเพื่อปรับเปลี่ยนรูปร่างของแผลเป็น หรือทำให้สังเกตเห็นได้น้อยลงได้ เราขออนุญาตไม่แนะนำให้ทำการผ่าตัดในกรณีที่คุณมีแผลเป็นมากเกินไป หรือเป็นแผลเป็นคีลอยด์ (แผลเป็นนูน) เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเกิดแผลเป็นซ้ำและเกิดแผลเป็นที่รุนแรงขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากการรักษา (4)
  • การฉีดสเตียรอยด์ การฉีดสเตียรอยด์ลงในแผลเป็นอาจช่วยทำให้แผลเป็นเล็กลงได้ การฉีดยาอาจช่วยให้แผลเป็นคีลอยด์หรือแผลเป็นนูนมีขนาดเล็กลง สเตียรอยด์ เช่น 5-fluorouracil (5-FU) หรือ Bleomycin สามารถฉีดเข้าไปในแผลเป็นเพื่อลดขนาดของแผลเป็นได้ และมันยังสามารถช่วยบรรเทาอาการคันและปวดได้ด้วย (4)
  • ใช้รังสีในการรักษา การฉายรังสีรักษาเป็นวิธีการรักษาแบบผิวเผิน รังสีที่ใช้ต้องมีความรุนแรงต่ำใช้เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำของคีลอยด์และแผลเป็นนูน การรักษานี้นิยมใช้เฉพาะในกรณีที่รุนแรง เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียงในระยะยาว
  • ศัลยกรรมขัดผิวหนัง (Dermabrasion) การรักษานี้เกี่ยวข้องกับการกำจัดพื้นผิวของผิวหนังด้วยอุปกรณ์พิเศษ Dermabrasion มีประโยชน์ในการกำจัดความผิดปกติของแผลเป็นไม่ว่าจะแผลเป็นนูนขึ้นหรือแผลเป็นแบบหลุมก็สามารถกำจัดได้ (4),(5),(6)
  • การกรอผิว ( Microdermabrasion) การกรอผิวหรือ Microdermabrasion เป็นหนึ่งในรูปแบบของ Dermabrasion ที่เจ็บปวดน้อยกว่ามาก แต่แน่นอนว่าวิธีนี้มีประโยชน์ที่สุดสำหรับรอยแผลเป็นที่มีความตื้นมาก (5),(6)
  • เลเซอร์ ขั้นตอนการเลเซอร์นั้นคล้ายกับ Dermabrasion คือการขจัดชั้นผิวของผิวหนัง (5),(6) ซึ่งจะใช้เลเซอร์ประเภทต่าง ๆ แทนการขัด โดยเลเซอร์ชนิดใหม่ ๆ ในปัจจุบัน อาจให้ผลลัพธ์ที่ละเอียดกว่า โดยการทำงานกับคอลลาเจนในผิวหนังชั้นหนังแท้โดยไม่ต้องลอกผิวหนังชั้นบนออก ความก้าวหน้านี้ส่งผลให้ใช้เวลาในการลดแผลเป็นน้อยลง เมื่อเทียบกับการผลัดผิวด้วยเลเซอร์และการกำจัดแผลเป็นแบบเดิมซึ่งต้องใช้เวลาพักฟื้นนานขึ้น
  • การฉีดฟิลเลอร์ การรักษาเหล่านี้สามารถใช้เพื่อเติมความตื้นของรอยแผลโดยจะฉีดไปในระดับของผิวหนังโดยรอบ (3) อย่างไรก็ตามผลของการฉีดยาเหล่านี้จะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวและอาจต้องทำซ้ำขั้นตอนนี้เป็นประจำ รูปแบบใหม่ของฟิลเลอร์เข้าสู่ตลาดแล้วและอาจเป็นทางเลือกสำหรับบางคน
  • กระตุ้นคอลลาเจนโดยใช้เข็ม (Microneedling) วิธีนี้เป็นวิธีกระตุ้นคอลลาเจนโดยใช้เข็ม โดยจะใช้เข็มเจาะไปที่ผิวหนังชั้นตื้นเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน วิธีนี้สามารถลดรอยแผลเป็นได้ดีแต่อาจไม่เหมาะกับแผลเป็นบางประเภท (7)
  • การผ่าตัด การผ่าตัดด้วยความเย็นจะทำให้แผลเป็นแข็งขึ้นเพื่อลดขนาดของแผลเป็นและลดความเจ็บปวด ลดอาการคัน ความแข็ง และการเปลี่ยนสีของแผลเป็น วิธีนี้อาจใช้ร่วมกับการฉีดสเตียรอยด์หรือ 5-FU

วิธีป้องกันการเกิดแผลเป็น

การป้องกันไม่ให้เกิดแผลเป็นในขณะที่แผลกำลังหายเป็นวิธีที่ดีที่สุด ในการป้องกันไม่ให้รอยแผลเป็นเกิดขึ้น แน่นอนว่า การสมานของแผลอาจส่งผลต่อลักษณะของแผลเป็นได้ แม้ว่าจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงรอยแผลเป็นบางอย่างได้ แต่ก็มีวิธีที่จะช่วยลดความรุนแรงของมันได้ ดังนี้

  • รักษาบริเวณแผลให้สะอาด : แนะนำให้ใช้สบู่อ่อน ๆ และน้ำสำหรับการทำความสะอาดบาดแผลและรอยถลอกเล็กน้อยส่วนใหญ่ แนะนำทำความสะอาดวันละครั้ง
  • อย่าปล่อยให้แผลแห้ง : จากการศึกษาพบว่าสภาพแวดล้อมที่ชื้นจะช่วยให้เนื้อเยื่อมีสุขภาพดี (8) ในขณะที่การรักษาสภาพความชุ่มชื้นของผิวหนังสามารถช่วยลดการสร้างเนื้อเยื่อแผลเป็นได้ (9)
  • นำรอยเย็บออกตามคำแนะนำ : หากคุณต้องเย็บแผลแนะนำให้ไปตัดไหมให้ตรงเวลา การรอเวลานานเกินไปหรือนำไหมออกก่อนเวลาอาจรบกวนการรักษาได้
  • ใช้ชุดป้องกันแสงแดดและครีมกันแดด : รังสีจากดวงอาทิตย์อาจทำให้แผลเป็นเข้มขึ้นหรือเพิ่มขึ้นได้ เราควรปกป้องผิวที่ได้รับบาดเจ็บจากแสงแดดทั้งในระหว่างและหลังการรักษา

ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพส่วนใหญ่แนะนำให้ทาปิโตรเลียมเจลลี่ธรรมดาและปิดด้วยผ้าพันแผลที่สะอาดวันละครั้งในขณะที่รักษา วิธีนี้จะป้องกันไม่ให้เกิดสะเก็ดแข็งซึ่งอาจทำให้มีโอกาสเกิดแผลเป็นได้มากขึ้น


อ้างอิง 

(1) Skin scarring

(2) Differences in collagen architecture between keloid, hypertrophic scar, normotrophic scar, and normal skin: An objective histopathological analysis

(3) Scar

(4) Scar Revision

(5) Skin Resurfacing Dermabrasion

(6) Dermabrasion and microdermabrasion

(7) Microneedling: Advances and widening horizons

(8) Overview of wound healing in a moist environment

(9) A review of the effects of moisturizers on the appearance of scars and striae