“งานคือเงิน เงินคืองาน” หลายคนยึดถือคำนี้มาก จนกลายเป็นคน “บ้างาน” หลายคนทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ ตั้งแต่ 9 โมงไปจนถึง 3 ทุ่ม หรือบางคนอาจจะเอางานที่ค้างคาอยู่ไปทำต่อที่บ้าน ซึ่งคุณอาจจะคิดว่าการบ้างานเป็นเรื่องปกติไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาอะไร แต่ลึก ๆ แล้วคุณอาจจะกำลังเป็น โรคบ้างาน (Workaholic) อยู่ก็ได้โดยที่คุณไม่รู้ตัว แม้ว่าจะมีการศึกษาเกี่ยวกับ “workaholism” มาเกือบ 45 ปีแล้ว แต่โลกดิจิทัลในปัจจุบันได้เพิ่มมิติใหม่ให้กับแนวคิดเรื่อง การเสพติดการทำงาน เนื่องจากมีเทคโนโลยีมากมาย ที่เอื้อให้การทำงานสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น อย่างเช่น สมาร์ทโฟน แล็ปท็อป และแท็บเล็ต ที่มอบโอกาสในการทำงานจากทุกที่ ทุกเวลา ซึ่งสำหรับบางคนนั่นหมายถึง โอกาสในการทำงานตลอดเวลา
มีหลายคนรักในการทำงานมาก จนไม่สามารถแบ่งแยกระหว่างการทำงานกับการพักผ่อนได้ ซึ่งมันอาจเกิดจากภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ สภาพแวดล้อมการทำงานที่มีความกดดันสูง รวมไปถึงภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ส่วนตัวที่ทำให้ต้องดิ้นรน สิ่งเหล่านี้มันส่งให้คุณอยากทำงานตลอดเวลา สำหรับผู้ประกอบการการพักผ่อนหรือหยุดทำงานอาจเป็นเรื่องยากยิ่งกว่า เพราะการพลาดสายสำคัญหรือไม่ตอบกลับอีเมล อาจเท่ากับเป็นการสูญเสียรายได้เป็นจำนวนมาก วันนี้เราเลยขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ “โรคบ้างาน (Workaholic)” ให้มากขึ้น ไปกันเลยค่ะ
Workaholism คืออะไร?
คำว่า “workaholism” ถูกใช้ครั้งแรกในปี 1971 โดยนักจิตวิทยาที่ชื่อว่า Wayne Oates (1) เขาได้ให้คำจำกัดความว่าเป็นการบังคับให้ทำงานหรือความจำเป็นที่ต้องทำงานโดยไม่สามารถควบคุมได้ ตั้งแต่นั้นมานักจิตวิทยาและนักวิจัยด้านสุขภาพจิตก็ทะเลาะกันเรื่องคำจำกัดความ แม้ว่าจะไม่ใช่ความผิดปกติที่สามารถวินิจฉัยได้อย่างเป็นทางการในคู่มือการวินิจฉัยและสถิติเกี่ยวกับความผิดปกติทางจิต (DSM-5) ฉบับใหม่ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือโรคนี้เป็นภาวะสุขภาพจิตที่แท้จริงและอาจมีผลกระทบต่อชีวิตของผู้คน (1)
การเสพติดการทำงาน เป็นภาวะที่ซับซ้อนซึ่งแต่ละคนพัฒนาทางด้านจิตใจ อารมณ์ และสังคมในการทำงาน ซึ่งคนที่บ้างานอยากที่จะทำงานต่อเนื่องเพื่อให้งานสำเร็จ แม้ว่าพวกเขาต้องเสียสละเวลานอนก็ตาม และผลที่ตามมาก็คือ การหวาดระแวงกับผลงานของพวกเขา พวกเขาอาจหมกมุ่นอยู่กับการคิดถึงวิธีการหาเวลาว่างให้มากขึ้นเพื่อใช้ในการทำงาน และอาจมีอาการเครียดหากพวกเขาจำเป็นต้องหยุดทำงาน
ชั่วโมงทำงานนาน VS. ภาวะติดงาน
การเสพติดการทำงาน ต่างกับ การทำงานเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ทำให้ยากที่จะสังเกตเห็น แม้ย้อนกลับไปในปี 2541 สหรัฐอเมริกาเชื่อกันว่ามีอัตราสูงสุดของคนที่ทำงานมากกว่า 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าอเมริกาเป็นประเทศที่บ้างาน อาชีพบางอย่างอาศัยชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน การที่ใครบางคนมีงานอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะติดสิ่งที่ทำเสมอไป อย่างไรก็ตาม “วัฒนธรรมของเราให้รางวัลแก่ผู้ที่ทำงานหนัก” อาจจะทำให้ใครหลายคนกลายเป็นคนติดงาน หลายคนอาจได้รับคำชมและการยอมรับจากหัวหน้างานและเพื่อนร่วมทีมซึ่งกระตุ้นให้เราทำงานหนักขึ้นโดยไม่ตระหนักว่าเรามีอาการเสพติดการทำงานหรือไม่ (2),(3) หากคุณสงสัยว่าอะไรคือความแตกต่างระหว่างคนที่ทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานานกับคนบ้างาน ? เราขอบอกเลยว่า คนที่ติดงานต้องดิ้นรนเพื่อปลีกตัวออกจากงาน แม้ว่าจะไม่อยู่ที่ทำงานก็ตาม
Workaholism และปัญหาสุขภาพ
เมื่อคุณดิ้นรนที่จะปลีกตัวออกจากงาน คุณจะคิดเหตุผลต่าง ๆ มากมาย สิ่งนี้สามารถนำไปสู่ความเครียด ความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้าและปัญหาการนอนหลับ (4) ภายใต้ความเครียดเรื้อรังร่างกายของคุณจะเริ่มเห็นผลกระทบ เช่น ความดันโลหิตสูง และระดับคอติซอลสูง ตามการทบทวนการวิจัยเมื่อปี 2013 ซึ่งผลกระทบนี้จะทำให้คุณเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวานจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ (5)
นอกจากนี้การติดงานอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ของคุณซึ่งนำไปสู่
- ความเหงา
- การแยกตัว
- ภาวะซึมเศร้า
บางครั้ง โรคบ้างาน (Workaholic) สามารถเกิดขึ้นร่วมกับภาวะสุขภาพจิตอื่น ๆ ได้ เช่น ครอบงำความผิดปกติ (OCD) หรือโรคสองขั้ว
วิธีรับมือกับอาการ การเสพติดงาน
1. ตั้ง ‘เวลาหยุด’ การทำงานและคุณต้องปฏิบัติตาม
การตั้งเวลา จะบังคับให้เราต้องหยุดในช่วงเวลาหนึ่งและรอจนกว่าจะถึงวันรุ่งขึ้นเพื่อเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง มันสามารถช่วยให้เรามีเวลาพักผ่อน และเหลือเวลาไปทำกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อความผ่อนคลาย ซึ่งเป็นความคิดที่ดีที่จะทำให้ตัวคุณเองมีเวลาที่ชัดเจนสำหรับการหยุดงานที่ทำอยู่ เพื่อไปรับประทานอาหารกลางวัน แต่สำหรับคนที่ทำงานหนัก ข้อนี้เป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด เพราะงานมันยังไม่ได้ตามเป้าหมายและคุณจะไม่อยากหยุด แต่พยายามจำไว้ว่าคุณสามารถทำงานอย่างชาญฉลาดได้ เพื่อให้วันทำงานสั้นลง
2. กำหนดกิจกรรมหลังจากเลิกงาน
ตัวอย่างเช่น วางแผนจะไปเดินเล่น นั่งสมาธิ เขียนบันทึกประจำวัน ทำอาหารเย็นหลังเลิกงาน หรือไปออกกำลังกาย สิ่งเหล่านี้จะเป็นการสร้างกิจวัตรประจำวัน สามารถช่วยปรับเปลี่ยนโครงสร้างของคนบ้างานได้ แม้ว่าจะต้องใช้เวลา แต่สิ่งสำคัญคือคุณต้องค้นพบสิ่งที่เหมาะกับตัวเองก่อน ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละคน และเมื่อพบกิจกรรมดังกล่าวแล้ว อาจทำให้คุณเลิกหมกมุ่นกับงานที่ทำอยู่ได้ง่ายขึ้น
3. หาเวลาให้กับคนที่คุณรักและครอบครัว
ถ้าช่วยได้ให้กำหนดเวลานั้นในปฏิทินของคุณตั้งแต่แรกเพื่อที่คุณจะได้ไม่ลืม การสละเวลาให้กับพวกเขา ซึ่งมันจะช่วยเยียวยาความสัมพันธ์และช่วยให้คุณฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
4. ขอความช่วยเหลือจากนักบำบัดหรือที่ปรึกษาหากคุณกำลังลำบาก
นักบำบัดสามารถทำงานร่วมกับคุณเพื่อทำความเข้าใจความจำเป็นในการทำงานและช่วยคุณทำงานเพื่อลดผลกระทบด้านลบของการทำงานหนักเกินไป หากคุณมีภาวะสุขภาพจิตร่วมด้วย เช่น OCD หรือโรคไบโพลาร์ก็สามารถช่วยพัฒนาแผนการรักษาที่เหมาะกับคุณได้
หากคุณติดงานคุณจะรู้สึกว่าจำเป็นต้องทำงานของคุณ เมื่อคุณไม่ได้ทำงานคุณจะเกิดอาการว้าวุ่นใจ ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตและร่างกายรวมถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวของคุณ ให้จำไว้เสมอว่าคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่รู้ดีว่าเวลาของพวกเขามีค่า แต่พวกเขายังคงหาเวลาทำกิจกรรมนอกงานต่อไป นั่นเป็นเพราะสมดุลในชีวิตการทำงานและชีวิตที่ดีสามารถทำให้บุคคลมีความสุข มีพลังและสดชื่นมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์และประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้นด้วย
อ้างอิง
(2) Workaholism: An overview and current status of the research
(5) Work Stress and Employee Health: A Multidisciplinary Review