“กาแฟ” เป็นเครื่องดื่มยามเช้าที่หลาย ๆ คนขาดไม่ได้ พวกเราหลายคนไม่สามารถเริ่มต้นวันใหม่ได้หากไม่ได้ดื่มกาแฟ แน่นอนว่าร้านกาแฟเป็นร้านค้าที่เปิดขายอยู่อย่างแพร่หลาย แต่เราขอบอกเลยว่าการดื่มกาแฟถ้วยแรกที่บ้านนั้นฟินกว่ามาก เพราะคุณสามารถดื่มกาแฟในขณะที่ใส่ชุดนอนได้ และไม่ต้องยืนต่อแถวเพื่อรอกาแฟในชั่วโมงที่เร่งรีบ แน่นอนว่าการทำกาแฟดื่มเองที่บ้านจะอร่อยกว่ามากแต่คุณจำเป็นต้องมี “เครื่องชงกาแฟ” ก่อน การมีเครื่องชงกาแฟจะทำให้คุณสามารถเลือกใช้เมล็ดกาแฟที่คุณชื่นชอบได้ สามารถเพิ่มและปรับรสชาติได้ตามความต้องการ อีกทั้งคุณยังสามารถเติมนม ครีมหรือน้ำตาล/สารให้ความหวานในปริมาณที่ต้องการได้
นอกจากนี้การทำกาแฟที่บ้านยังช่วยให้คุณประหยัดเงินในระยะยาวได้อีกด้วย แต่เครื่องชงกาแฟมีหลายยี่ห้อมาก ไม่ว่าคุณจะเลือกเครื่องชงกาแฟแบบใดการชงกาแฟพื้นฐานมันก็เหมือน ๆ กัน นั่นคือ กาแฟบดจะพบกับน้ำซึ่งกรรมวิธีนี้ จะได้สารสกัดและรสชาติของกาแฟ แต่สิ่งที่คุณควรรู้คือ เครื่องชงกาแฟที่แตกต่างกันสามารถให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันได้ อีกทั้งอุณหภูมิของน้ำก็มีผลต่อรสชาติของกาแฟเช่นเดียวกัน
บทความอื่น ๆ ที่คุณอาจสนใจ
- ไมโครเวฟ – คำแนะนำในการเลือกซื้อ
- หม้ออัดแรงดัน (Pressure Cooker) – คำแนะนำในการเลือกซื้อ
- เตาอบ (Oven) สำหรับอบขนม ทำอาหาร – คำแนะนำในการเลือกซื้อ
- หม้อทอดไร้น้ำมัน (Air Fryer) – คำแนะนำในการเลือกซื้อ
หากวันนี้คุณกำลังมองหาเครื่องชงกาแฟดี ๆ อยู่ เรามีคำแนะนำในการเลือกซื้อมาฝากกันค่ะ
ประเภทของเครื่องชงกาแฟ
1. เครื่องชงกาแฟแบบแคปซูล (Capsule or Pod Style Coffee Machines)
เครื่องชงกาแฟแบบแคปซูลนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดื่มกาแฟแบบไม่ยุ่งยาก คุณเพียงแค่ใส่กาแฟแคปซูลลงในเครื่องทำกาแฟ กดปุ่ม และพร้อมสำหรับการรับกาแฟหนึ่งถ้วย เมื่อได้กาแฟออกมาแล้วก็สามารถทิ้งแคปซูลลงในถังขยะได้เลย แบรนด์ของเครื่องชงกาแฟ แบบแคปซูล ที่เราคุ้นเคย ได้แก่ Bosch Tassimo, Nespresso, Lavazza และ Dualit เครื่องชงกาแฟแบบนี้มีราคาไม่แพงมากและสามารถหาซื้อได้ง่าย เครื่องชงกาแฟแบบแคปซูล เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับครอบครัวขนาดเล็กหรือในบ้านที่มีผู้ดื่มกาแฟเพียงไม่กี่คน
ข้อดีของเครื่องชงกาแฟแบบแคปซูล
-
- คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป
- ขนาดเล็ก กะทัดรัด ไม่ได้ใช้พื้นที่บนเคาน์เตอร์ในครัวมากนัก
- ใช้งานง่าย และรวดเร็ว
- เหมาะสำหรับ 1-2 ท่าน
- เหมาะสำหรับคอกาแฟที่ชอบลองดื่มกาแฟประเภทต่าง ๆ
- สามารถชงเอสเพรสโซ และคาปูชิโน่ได้
- มีการบำรุงรักษาต่ำ
- เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นดื่มกาแฟ
ข้อเสียของเครื่องชงกาแฟแบบแคปซูล
-
- ข้อจำกัดของแคปซูลกาแฟ (อาจจะต้องใช้แคปซูลกาแฟจากแบรนด์ของเครื่องชงกาแฟเท่านั้น)
- แคปซูลกาแฟอาจมีราคาแพง
2. เครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซ/คาปูชิโน่ (Espresso/Cappuccino Coffee Machines)
หากคุณต้องการยกระดับการชงกาแฟของคุณขึ้น เครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซหรือคาปูชิโน่ จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ ด้วยเครื่องสไตล์นี้คุณสามารถซื้อกาแฟสำเร็จรูป และชงกาแฟประเภทใดก็ได้ที่คุณชื่นชอบ แต่อีกทางเลือกหนึ่งของเครื่องมือประเภทนี้คือคุณสามารถซื้อเมล็ดกาแฟสดทั้งเมล็ด มาบดเอง แล้วเพิ่มลงในเครื่องชงกาแฟของคุณได้ นี่เป็นการเปิดเครื่องดื่มกาแฟทุกประเภทที่มีให้เลือกอย่างเต็มรูปแบบ ที่สำคัญกว่านั้นคือให้คุณได้ทดลองใช้เมล็ดกาแฟหลายประเภท ซึ่งมันเหมาะสำหรับคอกาแฟมาก ๆ
ข้อดีของเครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซ/คาปูชิโน่
-
- สามารถทำกาแฟได้หลากหลายประเภท
- สามารถเลือกใช้กาแฟบดได้ตามใจชอบ ซึ่งมีให้เลือกอยู่มากมาย
- สามารถใช้คั่วบดกาแฟได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีเครื่องบดเมล็ดกาแฟ
- เหมาะสำหรับทำกาแฟหลากหลายแบบ
- ได้กาแฟคุณภาพสูงที่รวดเร็ว และสม่ำเสมอ
ข้อเสียของเครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซ/คาปูชิโน่
-
- มีราคาแพงกว่าเครื่องชงกาแฟแบบแคปซูล
- ต้องการการทำความสะอาดมากกว่าเครื่องชงกาแฟแบบแคปซูล
- คุณต้องศึกษาเรียนรู้วิธีใช้งานให้ละเอียด
3. เครื่องชงกาแฟสดแบบอัตโนมัติ (Bean to Cup Coffee Machines)
เครื่องชงกาแฟสดแบบอัตโนมัติ เป็นเครื่องที่ทำงานโดยวางเมล็ดกาแฟสดไว้ที่ด้านบนของเครื่อง จากนั้นรอให้กาแฟไหลออกมาจากเครื่องเท่านี้ก็เรียบร้อย ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างเครื่องทำกาแฟประเภทนี้กับเครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซ/คาปูชิโน่ก็คือ เครื่องชงกาแฟสดแบบอัตโนมัติมาพร้อมกับเครื่องบดเมล็ดกาแฟในตัว เพียงคุณเทเมล็ดกาแฟลงไปในเครื่อง จากนั้นเครื่องจะบดให้ได้ความหนาตามที่คุณเลือก จากนั้นจึงนำกาแฟสดมาชง
ข้อดีของเครื่องชงกาแฟสดแบบอัตโนมัติ
-
- เต็มไปด้วยคุณสมบัติและโปรแกรมมากมาย
- ทำความสะอาดตัวเองได้ และขจัดคราบตะกรันไปในตัว
- ไม่จำกัดประเภทและรสนิยมของกาแฟ
ข้อเสียของเครื่องชงกาแฟสดแบบอัตโนมัติ
-
- คุณจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีใช้สิ่งเหล่านี้เนื่องจากมีคุณสมบัติครบถ้วน
- ใช้เวลาในการค้นหาสูตรกาแฟที่สมบูรณ์แบบของคุณ
- มีราคาแพงมาก
ถ้าคุณรักการดื่มกาแฟมาก เครื่องชงกาแฟสดแบบอัตโนมัติ ควรเป็นทางเลือกของคุณ เพราะนี่คือเครื่องชงกาแฟที่ดีที่สุด นอกจากนี้ยังเหมาะเป็นอย่างยิ่ง หากคุณมีครอบครัวหรือเพื่อนฝูงเป็นจำนวนมากที่ดื่มกาแฟ เครื่องชงกาแฟสดแบบอัตโนมัติจะทำให้คุณสามารถชงกาแฟได้จำนวนมากและสามารถทำกาแฟคุณภาพสูงได้อย่างยอดเยี่ยม เครื่องชงกาแฟสดแบบอัตโนมัติจะมาพร้อมกับเครื่องทำนม และโฟมที่จำเป็นสำหรับการทำลาเต้และคาปูชิโน่
เครื่องชงกาแฟประเภทอื่น ๆ ที่ได้รับความนิยม
เครื่องชงกาแฟแบบดริป (Filter Coffee Machines)
แน่นอนว่าบางคนก็ชอบรสชาติของกาแฟดริป เครื่องชงกาแฟประเภทนี้จะทำกาแฟแบบคลาสสิกเท่านั้น อย่าซื้อสิ่งเหล่านี้หากคุณกำลังมองหากาแฟสไตล์เอสเปรสโซ นี่คือเครื่องชงกาแฟสไตล์คลาสสิก วิธีการชงคือ หยดน้ำไหลผ่านกาแฟบดลงในเหยือกอุ่นที่อยู่ใต้เครื่อง
เครื่องชงกาแฟสุญญากาศ (Vacuum Coffee Machines)
ปัจจุบันเครื่องชงกาแฟสุญญากาศเป็นหนึ่งในเครื่องชงกาแฟที่ได้รับความนิยมมาก ๆ เพราะเป็นวิธีการชงกาแฟที่ไม่เหมือนใคร มันเป็นวิธีการที่แปลกมากและเป็นวิธีที่น่าสนใจในการรับชม กระบวนของกาแฟจะเกิดขึ้นเมื่อน้ำร้อนขึ้น น้ำจะถูกดึงขึ้นโดยใช้สุญญากาศและทำให้เมล็ดกาแฟผ่านการกลั่นเพื่อให้รสชาติกาแฟที่กลมกล่อม
เครื่องชงกาแฟ French Press (French Press Machines)
เครื่องชงกาแฟนี้เคยเป็นที่นิยมอย่างมาก แต่ความนิยมก็ลดลงเนื่องจากเครื่องชงกาแฟนี้ใช้งานได้ยาก เครื่องชงนี้ทำงานบนหลักการเดียวกับเครื่องชงกาแฟแบบดริป คือต้องบดกาแฟก่อนหลังจากนั้นเทน้ำร้อนให้ทั่วกาแฟและใช้ลูกสูบเพื่อจุ่มกาลงในน้ำร้อนจากนั้นดึงกลับขึ้นมา คุณก็จะได้กาแฟรสเข้มข้นที่มีรสชาติที่แตกต่างกันออกไป
เพอร์โคเลเตอร์ (Percolators)
การใช้เพอร์โคเลเตอร์เป็นอีกวิธีหนึ่งในการชงกาแฟแบบคลาสสิก เครื่องชงกาแฟประเภทนี้เสียบเข้ากับกระแสไฟฟ้าหลักและใช้เครื่องบดขนาดกลาง กาแฟที่ได้จะมีเอกลักษณ์และมีกลิ่นหอมมากเป็นพิเศษ
เคล็ดลับในการเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟ !
1. ความสะดวกสบาย
เครื่องชงกาแฟไฟฟ้าแบบตั้งโปรแกรมได้ สามารถเตรียมกาแฟของคุณให้พร้อมเมื่อคุณตื่นนอน และยังทำงานได้ด้วยการกดปุ่มเพียงไม่กี่ปุ่มเท่านั้น หากคุณไม่ได้จริงจังกับกาแฟที่คุณดื่ม เครื่องชงกาแฟแบบแคปซูลจะเหมาะกับคุณมาก เพราะมันทำงานง่าย คุณสามารถกดให้มันทำงานในระหว่างที่คุณอาบน้ำแต่งตัวได้ แต่หากคุณอยากได้รสชาติของกาแฟที่พิเศษมากยิ่งขึ้น คุณก็ต้องเลือกเครื่องชงกาแฟแบบอื่น ๆ ซึ่งแน่นอนว่ ามันต้องการความเอาใจใส่ที่มากกว่า เพื่อให้ได้กาแฟที่สมบูรณ์แบบ ฉะนั้นคุณสามารถเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟที่เหมาะกับสไตล์การใช้งานของคุณได้
2. ประเภทของกาแฟ
เครื่องชงกาแฟปกติ และเครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซ มักจะเป็นเครื่องแยกกัน แต่ก็มีเครื่องชงกาแฟบางรุ่นสามารถชงกาแฟได้ทั้งสองประเภท การที่คุณมีเครื่องชงกาแฟสองเครื่องวางอยู่บนเคาน์เตอร์ แน่นอนว่ามันจะใช้พื้นที่มาก ดังนั้นหากคุณรักทั้งกาแฟธรรมดาและเอสเปรสโซ และคุณต้องการทำให้แต่ละอย่างสมบูรณ์แบบอยู่เสมอ เครื่องชงกาแฟแบบไฮบริด จะใช้พื้นที่น้อยกว่าและมีแนวโน้มที่จะเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการซื้อเครื่องสองเครื่องแยกกัน แต่อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดหากคุณกำลังมองหากาแฟที่มีคุณภาพสูงสุด เครื่องชงแบบแคปซูลมักมีตัวเลือกเป็นเอสเปรสโซด้วย แต่มันก็ไม่ใช่เอสเปรสโซที่สมบูรณ์แบบที่สุด ดังนั้นหากคุณชอบเอสเพรสโซหรือคาปูชิโน่แบบดั้งเดิมควรมองข้ามสิ่งเหล่านี้
3. ขนาดของถ้วยชง
เครื่องชงกาแฟนั้นสามารถชงกาแฟได้ตั้งแต่ถ้วยเดียวไปจนถึงโถขนาดครอบครัว เครื่องชงกาแฟบางรุ่นลามารถชงได้ในปริมาณค่อนข้างเยอะ ในขณะที่บางรุ่นถูกจำกัดปริมาณ ขนาดถ้วยชงแบบถ้วยเดียว ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่คนเดียว หรือคนที่ชอบรสชาติหรือสไตล์กาแฟที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับครัวเรือนที่ทุกคนตื่นในเวลาที่ต่างกัน ขนาดของถ้วยชงที่มีปริมาณมากขึ้นเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบดื่มกาแฟในปริมาณมาก เหมาะสำหรับอาหารเช้าแบบครอบครัว บรันช์กับเพื่อนบ้านหรืองานเลี้ยงอาหารค่ำที่เสิร์ฟกาแฟ เครื่องทำกาแฟส่วนใหญ่มักติดฉลากกำกับไว้ว่าสามารถทำกาแฟได้ 10 ถึง 12 ถ้วย แต่ขอเตือนว่ากาแฟ “ถ้วย” ในแต่ละเครื่องจะมีขนาดเพียง 5 ถึง 6 ออนซ์ ไม่ใช่ 8 หรือ 16 ออนซ์
4. คุณสมบัติพิเศษ
เครื่องชงกาแฟบางรุ่นมีมากกว่าตัวเลือกการต้มกาแฟและรวมถึงตัวเลือกสำหรับการชงตามโปรแกรมในช่วงเวลาที่กำหนด บางเครื่องมีการอุ่นเครื่องหรือการปิดเครื่องอัตโนมัติหรือมีโถความร้อนเพื่อให้กาแฟอุ่น บางรุ่นมีการแจ้งเตือนด้วยเสียงเมื่อชงกาแฟเสร็จแล้ว และรุ่นไฟฟ้าส่วนใหญ่จะมีไฟที่บ่งบอกเมื่อเปิดเครื่องต้มกาแฟหรือเมื่อชงกาแฟเสร็จแล้ว บางยี่ห้ออาจมีคุณสมบัติ เช่น การตีฟองนม การบดกาแฟ และการแจ้งเตือนเมื่อต้องทำความสะอาดเครื่อง เครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซ และเครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซแบบไฮบริด มักจะเสนอตัวเลือกมากที่สุดและยังมาพร้อมกับราคาสูงสุดอีกด้วย
5. โปรแกรมทำความสะอาดอัตโนมัติ
การทำความสะอาดเครื่องชงกาแฟอาจเป็นเรื่องยากเล็กน้อย เนื่องจากเครื่องชงกาแฟมีชิ้นส่วนมากมายรวมถึงชิ้นส่วนภายในที่ยากต่อการทำความสะอาด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมโปรแกรมทำความสะอาดอัตโนมัติจึงมีประโยชน์ นั่นก็เพราะมันสามารถจะล้างระบบทั้งหมดได้โดยอัตโนมัติ ระยะเวลาของโปรแกรมทำความสะอาดแตกต่างกันไปในแต่ละเครื่อง เราพบว่าบางเครื่องใช้เวลาเพียง 6 นาที เท่านั้น แต่ในบางครั้งเครื่องชงกาแฟอื่น ๆ ก็ใช้เวลามากกว่า 20 นาที
การบำรุงรักษาเครื่องชงกาแฟ
การดูแลเครื่องชงกาแฟของคุณให้เป็นนิสัย มันไม่เพียงแต่จะเพิ่มอายุการใช้งาน แต่ยังทำให้กาแฟของคุณมีรสชาติที่ดีขึ้นอีกด้วย คุณสามารถทำตามขั้นตอนง่าย ๆ เหล่านี้ได้ เพื่อที่จะทำให้คุณได้กาแฟที่มีคุณภาพทุกครั้ง
- ทำความสะอาดเครื่องชงกาแฟของคุณในตอนสุดท้ายของวัน เราขอแนะนำให้กำจัดกากที่ใช้แล้ว ล้างระบบภายในด้วยน้ำ และทำความสะอาดถาดรองน้ำหยด สิ่งนี้จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าตัวเครื่องจะสะอาด
- เก็บเมล็ดกาแฟและกาแฟบดไว้ในภาชนะที่มีอากาศถ่ายเทได้ดีเพราะจะช่วยให้เมล็ดกาแฟสดใหม่ได้นานขึ้น
- อย่าทิ้งน้ำไว้ในถังนานเกินไประหว่างการใช้งาน เพราะจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อรสชาติกาแฟของคุณ ขอแนะนำให้ใช้น้ำกรองใหม่ทุกครั้ง
- ทำความสะอาดก้านสตีมนม หลังการใช้งานทุกครั้ง เนื่องจากมีรูและร่องมากมายที่นมสามารถเข้าไปได้ หลังการใช้งานแต่ละครั้งให้นำก้านสตีมนมออกแล้วเช็ดด้วยผ้าชุบน้ำหมาด ๆ จากนั้นในขณะที่คุณทำความสะอาดในตอนท้ายของวัน ให้ทำความสะอาดอย่างล้ำลึกอีกครั้ง เพื่อกำจัดคราบนมที่หลงเหลืออยู่
- ทำความสะอาดเครื่องชงกาแฟของคุณอย่างละเอียดทุกเดือน โดยการล้างชิ้นส่วนทั้งหมดให้สะอาด เครื่องชงกาแฟจำนวนมากจะมีการตั้งค่าการทำความสะอาดสำหรับสิ่งนี้
- ล้างและทำความสะอาดคราบตะกรันอยู่เสมอ ปริมาณที่คุณต้องใช้ในการขจัดคราบตะกรันขึ้นอยู่กับว่าคุณอาศัยอยู่ในพื้นที่ใด หากคุณอาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำกระด้างคุณจะรู้ดีอยู่แล้วว่าคุณต้องขจัดตะกรันเป็นประจำมากขึ้น เครื่องชงกาแฟส่วนใหญ่มาพร้อมกับชุดขจัดคราบตะกรันของตัวเองและเครื่องชงกาแฟบางรุ่นจะแจ้งให้คุณทราบเมื่อต้องการการขจัดคราบตะกรัน