ในยุคปัจจุบันห้องครัวไม่สามารถอยู่ได้หากไม่มี “ตู้เย็น” ในเมื่อไม่กี่ปีก่อนตู้เย็นเป็นของสำหรับคนมีอันจะกินเท่านั้น แต่ในตอนนี้มันกลายเป็นสิ่งจำเป็น และเราสามารถซื้อได้ทุกบ้าน ตู้เย็นจะช่วยในการจัดเก็บผัก ผลไม้ และรักษาความสดใหม่ของวัตถุดิบต่าง ๆ เนื่องจากตู้เย็นช่วยในการรักษาระดับของสารอาหารในอาหารของเราให้คงอยู่ซึ่งจะช่วยให้ชีวิตมีสุขภาพดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีพื้นที่สำหรับจัดเก็บของหวาน ไอศกรีม และน้ำดื่มที่สดชื่นอีกด้วย ปัจจุบันเนื่องจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้มีตู้เย็นประเภทต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะตัดสินใจเลือกประเภทของตู้เย็นที่เราควรซื้อ เนื่องจากต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นความจุของพื้นที่จัดเก็บ ความครอบคลุมของพื้นที่ และเทคโนโลยีของมัน
แน่นอนว่า ตู้เย็นประกอบด้วยช่องจำนวนมากที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้มันสามารถจัดเก็บอาหารเครื่องดื่ม และสิ่งของที่จำเป็น เช่น ยา ได้เป็นเวลานาน ภายใต้อุณหภูมิต่ำ เครื่องใช้ไฟฟ้านี้ได้รับการหุ้มฉนวนความร้อน ด้วยเหตุนี้จึงมีการรักษาอุณหภูมิที่แน่นอนไว้ภายในซึ่งเหมาะอย่างยิ่งในการชะลอการเสื่อมคุณภาพของสารอาหาร ทำให้อาหารมีความสด และทำให้อาหารมีคุณค่าทางโภชนาการ นอกจากนี้ตู้เย็นยังมีตู้แช่แข็งซึ่งสร้างน้ำแข็ง ซึ่งเหมาะสำหรับการจัดเก็บเนื้อสัตว์และปลาภายใต้อุณหภูมิที่ต่ำมากด้วย
วันนี้เรามีคู่มือการซื้อตู้เย็นที่เหมาะสมสำหรับคุณมาฝากกัน โดยจะกล่าวถึงคุณโดยละเอียดเกี่ยวกับคุณสมบัติพื้นฐานและคุณสมบัติทั่วไปของตู้เย็น ถ้าพร้อมแล้วก็ไปดูวิธีซื้อกันเลยค่ะ
บทความอื่น ๆ ที่คุณอาจสนใจ
- ไมโครเวฟ – คำแนะนำในการเลือกซื้อ
- หม้ออัดแรงดัน (Pressure Cooker) – คำแนะนำในการเลือกซื้อ
- เตาอบ (Oven) สำหรับอบขนม ทำอาหาร – คำแนะนำในการเลือกซื้อ
- หม้อทอดไร้น้ำมัน (Air Fryer) – คำแนะนำในการเลือกซื้อ
ประเภทของตู้เย็น
1. ตู้เย็น Direct Cool (ระบบละลายน้ำแข็งกึ่งอัตโนมัติ)
ตู้เย็น Direct Cool เป็นตู้เย็นแบบระบายความร้อนโดยตรง ตู้เย็นประเภทนี้ไม่ได้ใช้พัดลมเพื่อระบายความร้อนในช่องตู้เย็น การระบายความร้อนเป็นผลมาจากการพาความร้อนตามธรรมชาติซึ่งส่วนหนึ่งอาจเย็นกว่าส่วนอื่น ๆ ภายในช่อง อย่างไรก็ตามตู้เย็นเหล่านี้มีอัตราการประหยัดพลังงานสูงมาก ตู้เย็นแบบระบายความร้อนโดยตรงบางตัวได้รับการสนับสนุนด้วยเทคโนโลยีการละลายน้ำแข็งอัตโนมัติแบบดิจิทัล เพื่อหลีกเลี่ยงการละลายน้ำแข็งด้วยตนเอง
ข้อดีของตู้เย็น Direct Cool
-
- ระบายความร้อนด้วยกระบวนการพาความร้อนตามธรรมชาติภายในตู้เย็น
- มีการออกแบบที่ประหยัดพลังงานสูง
- มีราคาค่อนข้างแพง
- มีห้องแช่แข็งที่มีประสิทธิภาพ
- รุ่นล่าสุดมีเทคโนโลยีการละลายน้ำแข็งอัตโนมัติแบบดิจิตอล
2. ตู้เย็น Frost Free (ระบบหมุนเวียนอากาศไม่มีน้ำค้างแข็ง)
ปัจจุบันตู้เย็นส่วนใหญ่คือ ตู้เย็น Frost Free คือตู้เย็นที่ไม่มีหยดน้ำค้างแข็ง ตู้เย็นที่ไม่มีหยดน้ำค้างแข็งเหล่านี้ประกอบด้วยพัดลมไฟฟ้าซึ่งช่วยในการหมุนเวียนอากาศเย็นภายใน วิธีนี้ทำให้มันสามารถหลีกเลี่ยงการก่อตัวของหยดน้ำค้างแข็งนอกช่องแช่แข็งได้ และช่วยในการควบคุมความเย็นของช่องต่าง ๆ ตู้เย็นเหล่านี้มักมาพร้อมกับเทคโนโลยีละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ ยิ่งไปกว่านั้นตู้เย็นที่ไม่มีหยดน้ำค้างแข็งยังดีที่สุดในการรักษาอุณหภูมิที่สม่ำเสมอทั่วทุกช่องของตู้เย็น
ประเภทย่อยของ ตู้เย็น Frost Free (ระบบหมุนเวียนอากาศไม่มีน้ำค้างแข็ง)
ตู้เย็นประตูเดียว
ตู้เย็นแบบประตูเดียวมีประตูบานเดียวที่ด้านหน้า ตู้เย็นดังกล่าวมีช่องแช่แข็ง ช่องเย็น และช่องใส่ผัก สิ่งเหล่านี้ถือเป็นตู้เย็นระดับเริ่มต้น และมีราคาที่ไม่แพงมาก ตู้เย็นแบบบานเดี่ยวพื้นที่น้อยมาก จึงเหมาะสำหรับบ้านขนาดเล็ก ตู้เย็นรุ่นประตูเดียวส่วนใหญ่จะมีความจุประมาณ 50-300 ลิตร
Haier ตู้เย็นมินิบาร์ ขนาด 1.7 คิว รุ่น HR-50 | ||
Haier ตู้เย็น 1 ประตู Muse series รุ่น HR-CEQ15X |
ตู้เย็นสองประตู
ตู้เย็นสองประตูมีขนาดใหญ่กว่า และก็ตามชื่อเลย ประกอบด้วยประตูสองบานที่ด้านหน้าและมีความจุประมาณ 200-600 ลิตร ประตูบานหนึ่งปิดช่องแช่เย็นที่รักษาอุณหภูมิระหว่าง 0 ถึง 10 องศาเซลเซียส ในขณะที่ประตูอีกบานปิดช่องแช่แข็งซึ่งรักษาสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า การมีประตู 2 บานที่แยกจากกันช่วยลดโอกาสในการระบายความเย็นออกมาแม้จะเปิดตู้เย็นบ่อย ๆ ก็ตาม และคุณสามารถจะแยกเก็บวัตถุดิบต่าง ๆ ได้ง่าย
Samsung ตู้เย็น 2 ประตู Digital Inverter Technology รุ่น RT29K5511S8/ST | ||
LG ตู้เย็น 2 ประตู ขนาด 6.6 คิว รุ่น GN-B202SQBB | ||
PANASONIC NR-BX471WGWT ตู้เย็น 2 ประตู |
ตู้เย็น Side-By-Side
ตู้เย็นประเภทนี้ประกอบด้วยประตู 2 บาน เช่นกัน แต่จะเป็นการเปิดออกด้านข้างเหมือน ๆ กับตู้เสื้อผ้า โดยตู้เย็นแบบนี้จะมีขนาดใหญ่ที่สุด มีความจุถึง 810 ลิตร และอาจมีน้ำแข็ง และตู้กดน้ำอยู่ด้านใน ตู้เย็นประเภทนี้มาพร้อมตู้กดน้ำช่วยให้คุณเติมน้ำลงในแก้วได้โดยไม่ต้องเปิดประตู ตู้เย็นนี้ออกแบบมาเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับเก็บของเพิ่มขึ้น เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดใหญ่
HITACHI ตู้เย็น 4 ประตู Multi Doors รุ่น RWB640VF | ||
Samsung ตู้เย็น Multi Doors RF48A4010B4/ST |
เลือกซื้อตู้เย็น ตามประเภทของการใช้งาน
คนโสด
ตู้เย็นขนาดเล็กที่มีความจุประมาณ 200 ลิตร ก็เพียงพอแล้วสำหรับคนที่เป็นโสด อาศัยอยู่ตัวคนเดียว ตู้เย็นประตูเดี่ยว และแบบบานคู่จะเป็นทางเลือกที่ดี แต่หากมีปัญหาเรื่องพื้นที่คุณสามารถเลือกซื้อตู้เย็นแบบพกพาซึ่งมีความจุ 45 ถึง 80 ลิตร มาใช้แทนก็ได้
ครอบครัวขนาดกลาง
ครอบครัวที่มีสมาชิก 3-4 คน มักจะต้องการตู้เย็นที่มีความจุตั้งแต่ 200 ถึง 350 ลิตร ซึ่งตู้เย็นรุ่นสองประตู เป็นทางเลือกที่ดี เนื่องจากมันสามารถช่วยประหยัดพลังงานได้ เนื่องจากการเปิดตู้เย็นบ่อยครั้งจะเป็นการเพิ่มการใช้ไฟฟ้า หากคุณใช้งานในครอบครัวคุณต้องเลือกรุ่นที่มีตะกร้าผักขนาดใหญ่หรือตู้แช่แข็งขนาดใหญ่ เพื่อให้ครอบคลุมการใช้งาน
ครอบครัวใหญ่
ครอบครัวใหญ่ มักจะต้องการตู้เย็นที่มีความจุ 300 ถึง 450 ลิตร หากคุณมีครอบครัวขนาดใหญ่ รุ่นที่ติดตั้งสองประตูด้านข้าง และด้านล่างเป็นตัวเลือกที่เหมาะกับครอบครังของคุณ ความพร้อมของพื้นที่ตามความต้องการของคุณและงบประมาณของคุณก็มีบทบาทหากสมาชิกในครอบครัวของคุณชอบดื่มน้ำเย็นบ่อย คุณควรเลือกซื้อตู้เย็นแบบ Side-By-Side
การใช้งานเชิงพาณิชย์ / ร้านอาหาร
สถานประกอบการเชิงพาณิชย์ขนาดเล็กต้องการตู้เย็นความจุ 300 ถึง 450 ลิตร ในกรณีที่มีความต้องการเชิงพาณิชย์มากขึ้นจำเป็นต้องใช้ตู้เย็นที่มีความจุมากกว่า 800 ลิตร ตู้เย็นแบบ Side-By-Side จะดีกว่าในกรณีเช่นนี้เนื่องจากลดการสูญเสียความเย็นโดยไม่จำเป็น
เคล็ดลับการเลือกซื้อ ตู้เย็น
1. ความจุของตู้เย็น
ความจุของตู้เย็นสามารถวัดได้เป็นลิตร ช่วงจากความจุต่ำสุดไปจนถึงความจุสูงสุดได้เพิ่มขึ้นไปมากในทุกวันนี้ แต่เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจความต้องการของคุณได้ จำเป็นต้องพิจารณาจากปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งก่อน นั่นคือ ขนาดของครอบครัวของคุณสิ่งนี้ จะบอกได้ถึงปริมาณอาหารที่คุณจะเก็บไว้ในตู้เย็น สำหรับคู่สามีภรรยาที่มีลูก 1 คนตู้เย็นขนาดเล็ก 150 ถึง 250 ลิตร ก็เพียงพอแล้ว แต่สำหรับครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีสมาชิก 4 ถึง 5 คน ก็อาจต้องซื้อตู้เย็นที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย 250 ถึง 500 ลิตร ส่วนถ้าเป็นครอบครัวใหญ่ แน่นอนว่า ต้องใช้ตู้เย็นขนาดใหญ่ที่มีความจุระหว่าง 550 ถึง 850 ลิตร ส่วนตู้เย็นที่มีความจุ 40 ถึง 100 ลิตร สิ่งเหล่านี้เหมาะที่สุดหากคุณอยู่คนเดียว
2. พื้นที่
ขนาดพื้นที่ที่มีอยู่ในบ้านของคุณก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน ในการเลือกตู้เย็นของคุณ คุณคุณจำเป็นต้องดูขนาดฐานของตู้เย็นที่คุณเลือกก่อน และดูว่ามันพอดีกับพื้นที่ที่คุณจะนำไปวางหรือไม่ และอย่าลืมพิจารณาถึงพื้นที่ว่างเพื่อให้เปิดประตูตู้เย็นอย่างอิสระด้วย และนอกจากนั้นคุณต้องมีพื้นที่อย่างน้อยหนึ่งนิ้วที่ด้านบนและด้านหลังเพื่อให้ความร้อนสามารถระบายออกไปได้ง่ายขึ้น
3. คอมเพรสเซอร์
คอมเพรสเซอร์มีหน้าที่รักษาอุณหภูมิภายในตู้เย็น ควรสังเกตว่าตู้เย็นขนาดเล็กมักมาพร้อมกับคอมเพรสเซอร์แบบทั่วไป ในขณะที่ตู้เย็นขนาดกลางและขนาดใหญ่มาพร้อมกับคอมเพรสเซอร์อินเวอร์เตอร์
คอมเพรสเซอร์ ทั่วไป
เริ่มต้นด้วยความเร็วสูง จากนั้นจึงทำงานต่อไปด้วยความเร็วคงที่ ด้วยวิธีนี้แม้ว่าจะไม่มีการสูญเสียความเย็น แต่ก็จะยังคงทำงานด้วยความเร็วเท่าเดิมและจะปิดก็ต่อเมื่อถึงความเย็นที่เหมาะสมแล้วเท่านั้น ทำให้มันค่อนข้างกินไฟ
คอมเพรสเซอร์ระบบอินเวอร์เตอร์
สามารถปรับเปลี่ยนไปได้ตามธรรมชาติในแง่ที่ว่า สามารถทำงานด้วยความเร็วที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปริมาณการทำความเย็นที่ต้องการ พวกเขาเริ่มต้นด้วยความเร็วต่ำและเร่งความเร็วก็ต่อเมื่อมีการสูญเสียความเย็น สิ่งนี้ช่วยให้มันสามารถใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือพูดง่าย ๆ ว่า มันประหยัดไฟมากกว่านั่นเอง
4. คุณสมบัติพิเศษของตู้เย็น
คุณสมบัติพิเศษของตู้เย็นจะทำให้ตู้เย็นของคุณพิเศษกว่าตู้เย็นทั่วๆ ไป โดยส่วนใหญ่จะมีฟังก์ชั่นการทำงาน ดังต่อไปนี้
- ตู้น้ำ / น้ำแข็ง ตู้กดน้ำและน้ำแข็งส่วนใหญ่จะอยู่เคียงข้างกัน ช่วยให้คุณหยิบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งก้อนได้โดยไม่ต้องเปิดตู้เย็น คุณสามารถกดแก้วของคุณกับคันโยกในตัวเพื่อจ่ายน้ำเย็นหรือน้ำแข็ง
- ชั้นวางแก้ว หากคุณให้ความสำคัญกับการใช้ตู้เย็นในระยะยาวให้มองหารุ่นที่มีชั้นวางแก้วที่แข็งแรง ทนทานกว่าชั้นวางพลาสติกและรับน้ำหนักได้มากกว่า
- ชั้นวางแบบปรับได้ คุณเคยนำเค้กก้อนใหญ่มาเลี้ยงวันเกิดและไม่มีพื้นที่เก็บไว้ในตู้เย็นหรือไม่? ชั้นวางแบบปรับได้เข้ามาช่วยในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจากคุณสามารถถอดบางส่วนออกเพื่อให้สามารถจัดเก็บสิ่งของที่ใหญ่กว่าได้
- Cool pack Cool pack เป็นคุณสมบัติที่สามารถทำให้ช่องแช่แข็งเย็นได้นานถึง 12 ชั่วโมงโดยไม่ต้องจ่ายไฟใด ๆ ตู้เย็นดังกล่าวมีประโยชน์อย่างมากในบริเวณที่มีการตัดไฟอย่างต่อเนื่อง
- แรงดันไฟฟ้าคงที่ หากคุณอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีความผันผวนของแรงดันไฟฟ้าบ่อย ๆ ตู้เย็นที่มีตัวปรับแรงดันไฟฟ้าในตัวเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด รุ่นเหล่านี้สามารถป้องกันคอมเพรสเซอร์จากความผันผวนของแรงดันไฟฟ้าสูง
- ระบบกำจัดกลิ่น ระบบการกำจัดกลิ่นจะกำจัดกลิ่นจากตู้เย็นของคุณด้วยการใช้ตัวกรองที่มีประสิทธิภาพ วิธีนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าไม่มีกลิ่นเหม็นมาจากตู้เย็นทุกครั้งที่คุณเปิด
ตู้เย็น ดีอย่างไร ?
เมื่อคุณรับประทานอาหารคุณก็คงต้องการอาหารที่ดีต่อสุขภาพร่างกายของคุณมากที่สุด เพื่อให้อาหารที่ทานเข้าไปนั้นดีต่อสุขภาพ คุณจะต้องทานผักสด ผลไม้ และเครื่องดื่ม เช่น นม และน้ำผลไม้ ซึ่งในช่วงเวลาของเราส่วนใหญ่หมดไปกับการทำงาน จะให้ไปซื้อทุก ๆ มื้อก็คงไม่ไหว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากหากคุณไม่มีตู้เย็น นี่คือข้อดีสูงสุดของการใช้ตู้เย็น เพราะมันจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการรักษาระดับความสดใหม่ และรักษาปริมาณโภชนาการ สารอาหารของอาหาร อีกทั้งยังช่วยจัดเก็บอาหารไว้ได้นานขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้การมีตู้เย็นยังมีน้ำเย็นให้คุณดื่มเมื่อคุณเหนื่อย คุณสามารถเก็บอาหารที่ปรุงสุกแล้วเอาไว้ในตู้เย็นได้ เพื่อที่คุณจะได้รับประทานในวันถัดไป และคุณยังสามารถเก็บยาไว้เป็นเวลานานได้อีกด้วย ข้อดีต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลให้ตู้เย็นกลายเป็นสิ่งจำเป็นสูงสุดของมนุษย์ในชีวิตประจำวัน