เมื่อพูดถึง “โรคงูสวัด” หลาย ๆ คนอาจจะรู้สึกตกใจ เพราะคิดว่ามันเป็นอาการที่ร้ายแรง แต่ในความเป็นจริงแล้ว โรคงูสวัด เป็นการติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัส Varicella-Zoster (VZV) ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกันกับไวรัสที่ทำให้เกิด โรคอีสุกอีใส โดยทั่วไปจะส่งผลต่อปมประสาทประสาทสัมผัสเดียว และผิวที่เส้นประสาทส่งไป ใครก็ตามที่เป็นโรคอีสุกอีใส นอกจากมันจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้แล้ว มันยังสามารถกลายเป็นโรคงูสวัดได้ในภายหลัง ซึ่งไวรัสนี้จะอยู่ในเนื้อเยื่อเส้นประสาทที่อยู่ใกล้ไขสันหลัง และสมองของผู้ที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน และเมื่อถูกกระตุ้นซ้ำหลายครั้ง เชื้อไวรัสนี้ก็อาจส่งผลให้เกิดโรคงูสวัดได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นโรคอีสุกอีใสจะเป็นโรคงูสวัด โดยโรคงูสวัด สามารถพบได้บ่อยที่สุด หลังจากมีอายุ 50 ปี ไปแล้ว (1),(2),(3),(4) ถ้าหากคุณเคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อน ในบทความนี้เราจะพาคุณไปหาข้อมูลเกี่ยวกับทุก ๆ อย่างของโรคงูสวัดที่คุณควรรู้กันค่ะ
โรคงูสวัดคืออะไร ?
โรคงูสวัด จะเกิดจากการติดเชื้อไวรัส Varicella ซึ่งเป็เชื้อไวรัสชนิดเดียวกันกับสาเหตุของโรคอีสุกอีใส โดยไวรัสจากโรคอีสุกอีใสตัวนี้สามารถอาศัยอยู่ในระบบประสาทของคุณเฉย ๆ ได้เป็นเวลานานหลายปีก่อนที่มันจะกลายเป็นโรคงูสวัด ซึ่งโรคงูสวัด อาจเรียกอีกอย่างว่า เริมงูสวัด เนื่องจากไวรัส Varicella-zoster เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มไวรัสที่เรียกว่า ไวรัสเริม ซึ่งรวมไปถึงไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหวัดและเริมที่อวัยวะเพศ ด้วยเหตุนี้ โรคงูสวัด จึงเรียกได้อีกอย่างว่า เริมงูสวัด ซึ่งการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้มีลักษณะเป็นผื่นแดงที่ผิวหนัง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดและแสบร้อนได้ โรคงูสวัดมักปรากฏเป็นแถบตุ่มพองที่ด้านใดด้านหนึ่งของร่างกาย โดยทั่วไปจะเป็นที่ลำตัว คอ หรือใบหน้า ซึ่งส่วนใหญ่โรคนี้จะตกสะเก็ดภายใน 7 ถึง 10 วัน และหายสนิทภายใน 2 ถึง 4 สัปดาห์ (1),(2),(3),(4)
สาเหตุของโรคงูสวัด ?
อย่างที่บอกไปค่ะ โรคงูสวัด เกิดจากไวรัส Varicella-Zoster ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอีสุกอีใส ดังนั้นถ้าหากคุณเคยเป็นโรคอีสุกอีใสแล้ว คุณจะสามารถเป็นโรคงูสวัดได้เช่นกัน เพราะไวรัสที่มาจากโรคอีสุกอีใส จะอยู่ในร่างกายของคุณได้นานหลายปี เพื่อรอเวลาจะกลับมาทำงานอีกครั้งในรูปแบบของโรคงูสวัด ซึ่งสาเหตุของโรคงูสวัดยังไม่ชัดเจนค่ะ แต่ก็น่าจะเป็นเพราะภูมิคุ้มกันการติดเชื้อลดลงเมื่อคุณมีอายุมากขึ้น โดยโรคงูสวัดสามารถพบได้บ่อยในผู้สูงอายุและผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อลดลง ดังนั้นผู้สูงอายุควรออกกำลังกายเป็นประจำ (1) และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ยังสามารถทำให้เกิดโรคงูสวัดได้ ได้แก่ ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ, มีความเครียด ทางอารมณ์, มีอายุมากขึ้นและอยู่ระหว่างการรักษามะเร็ง หรือการผ่าตัดใหญ่ (3),(4)
อาการของ โรคงูสวัด เป็นอย่างไร ?
อาการแรกเริ่มของ โรคงูสวัด มักจะมีอาการปวดและแสบร้อน ความเจ็บปวดมักจะเกิดขึ้นที่ด้านใดด้านหนึ่งของร่างกายและเกิดขึ้นเป็นหย่อมเล็ก ๆ หลังจากนั้นอาการผื่นแดงมักจะตามมา ลักษณะผื่นได้แก่ รอยสีแดง ตุ่มน้ำที่สามารถแตกได้ มีแผลพันรอบตั้งแต่กระดูกสันหลังจนถึงลำตัว มีอาการคัน บางคนมีอาการมากกว่าความเจ็บปวดและมีผื่นขึ้นจากงูสวัด สิ่งเหล่านี้อาจรวมถึงไข้ หนาวสั่น ปวดหัว มีความเหนื่อยล้า รวมไปถึงกล้ามเนื้ออ่อนแรง (2),(3) ส่วนอาการของโรคงูสวัดที่หายากและร้ายแรง ได้แก่
- ปวดหรือเป็นผื่นที่ดวงตา ซึ่งอาการนี้ควรได้รับการรักษาทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายของดวงตาถาวร (1)
- สูญเสียการได้ยิน หรือเจ็บอย่างรุนแรงในหูข้างใดข้างหนึ่ง ส่งผลให้มีอาการมึน เวียนศีรษะ หรือการสูญเสียการลิ้มรสบนลิ้น ซึ่งอาการเหล่านี้อาจจะเป็นอาการของกลุ่มอาการของ โรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก (Bell’s palsy) และคุณต้องรับการรักษาทันที (1),(3)
- การติดเชื้อแบคทีเรีย หากแผลพุพองจากงูสวัดไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจเกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังจากแบคทีเรีย ซึ่งอาการนี้อาจทำให้ผิวของคุณกลายเป็นสีแดง บวมและร้อนผ่าว (1)
ประเภทของโรคงูสวัด
- โรคงูสวัดบนใบหน้า งูสวัดที่ใบหน้า มักจะเกิดขึ้นครั้งแรกที่ด้านหนึ่งของแผ่นหลัง หรือหน้าอกของคุณ และสามารถเกิดผื่นบนด้านใดด้านหนึ่งของใบหน้าของคุณได้เช่นกัน หากผื่นขึ้นใกล้หรือในหู ก็อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ ที่อาจส่งผลให้สูญเสียการได้ยิน มีปัญหาเรื่องการทรงตัว และทำให้มีกล้ามเนื้อใบหน้าที่อ่อนแรง (1),(3) โรคงูสวัดแบบนี้อาจเกิดได้ภายในปากเช่นกัน ซึ่งคุณอาจเจ็บปวดมาก ทำให้การกินอาหารอาจเป็นเรื่องยากและประสาทรับรสของคุณอาจได้รับผลกระทบ
- โรคงูสวัดบริเวณดวงตา โรคงูสวัดรอบดวงตาเรียกว่า Ophthalmic Herpes Zoster หรือ Herpes Zoster Ophthalmicus ซึ่งมักจะเกิดขึ้นประมาณ 10 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ของคนที่เป็นโรคงูสวัด (5) ผื่นพุพองอาจเกิดขึ้นที่เปลือกตา หน้าผากและบางครั้งอาจขึ้นที่ปลายจมูกหรือด้านข้างของจมูก คุณอาจมีอาการต่าง ๆ เช่น แสบร้อนหรือตากระตุก ตาแดง น้ำตาไหล บวมและมองเห็นภาพซ้อน หลังจากที่ผื่นหายไปคุณอาจยังมีอาการปวดตาเนื่องจากความเสียหายของเส้นประสาทแต่ความเจ็บปวดจะดีขึ้นในคนส่วนใหญ่ หากไม่ได้รับการรักษาโรคงูสวัดที่ตาอาจนำไปสู่ปัญหาร้ายแรง ซึ่งรวมถึงการสูญเสียการมองเห็นในระยะยาวและการเกิดแผลเป็นถาวร (1) อันเนื่องมาจากการบวมของกระจกตา หากคุณสงสัยว่าคุณมีอาการงูสวัดรอบดวงตาคุณควรไปพบแพทย์ทันทีและควรเริ่มต้นการรักษาภายใน 72 ชั่วโมง (5)
- โรคงูสวัดบนหลัง แม้ว่าผื่นงูสวัด มักจะเกิดขึ้นที่ด้านใดด้านหนึ่งของรอบเอวของคุณ แต่อาจมีแถบตุ่มพองปรากฏขึ้นที่ด้านใดด้านหนึ่งของหลังหรือหลังส่วนล่างด้วย
- โรคงูสวัดที่ก้น คุณอาจจะเป็นงูสวัดที่ก้นได้เช่นกัน โรคงูสวัดมักส่งผลกระทบต่อร่างกายเพียงด้านเดียว ดังนั้นคุณอาจมีผื่นขึ้นที่ก้นขวาแต่ไม่เกิดที่ด้านซ้าย เช่นเดียวกับส่วนอื่นๆ ของร่างกายโรคงูสวัดที่ก้นของคุณอาจทำให้เกิดอาการเริ่มต้น เช่น รู้สึกเสียวซ่า คัน หรือปวด หลังจากนั้นสองสามวัน อาจเกิดผื่นแดงหรือตุ่มพองขึ้นได้ บางคนมีอาการปวดแต่ไม่เกิดผื่นขึ้น
โรคงูสวัดเป็นโรคติดต่อหรือไม่ ?
ตัว โรคงูสวัด ไม่ได้เป็น โรคติดต่อ แต่ไวรัส Varicella-zoster เป็นสาเหตุของโรคที่สามารถแพร่กระจายไปยังบุคคลอื่นได้ คุณไม่สามารถเป็นโรคงูสวัดจากคนที่เป็นโรคงูสวัดได้ แต่คุณสามารถเป็นโรคอีสุกอีใสได้หากสัมผัสกับผู้ที่เป็นโรคงูสวัด ซึ่งอาการนี้มักจะเกิดขึ้นได้ ถ้าคุณไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน ไวรัสวาริเซลลา (varicella-zoste) จะแพร่กระจายเมื่อมีคนสัมผัสกับตุ่มน้ำพอง มันจะไม่เป็นโรคติดต่อหากปิดแผลพุพองหรือหลังเกิดสะเก็ด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัส varicella-zoster หากคุณมีงูสวัด ให้แน่ใจว่าได้รักษาผื่นให้สะอาดและปกปิด อย่าสัมผัสตุ่มน้ำและล้างมือบ่อย ๆ คุณควรหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้คนที่มีความเสี่ยง เช่น สตรีมีครรภ์ และผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
ระยะเวลาของการเกิดโรคงูสวัด
โรคงูสวัดส่วนใหญ่จะมีการฟักตัวระยะหนึ่งหลังจากที่ไวรัส Varicella-Zoster ได้รับการกระตุ้นคุณอาจรู้สึกเสียวซ่า แสบร้อน ชา หรือคันที่ผิวหนัง โรคงูสวัดมักเกิดขึ้นที่เอว หลัง หรือหน้าอก ภายในประมาณ 5 วัน คุณอาจเห็นผื่นแดงบริเวณนั้น กลุ่มเล็ก ๆ ของพุพองที่เต็มไปด้วยของเหลวอาจปรากฏขึ้นในบริเวณเดียวกันในอีก 2 – 3 วันต่อมา คุณอาจมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ หรือเหนื่อยล้า ในช่วง 10 วันต่อมา แผลพุพองจะแห้งและเกิดเป็นสะเก็ด สะเก็ดจะหายหลังจากผ่านไป 2 – 4 สัปดาห์ หลังจากสะเก็ดหายบางคนยังคงรู้สึกเจ็บนี้ เรียกว่า โรคประสาท Postherpetic (1),(2),(3),(4)
วิธีการรักษาโรคงูสวัดที่บ้าน
- อาบน้ำเย็น หรืออาบน้ำเพื่อทำความสะอาดและปลอบประโลมผิวของคุณ
- ใช้ประคบเย็นบนผื่นเพื่อลดอาการปวดและอาการคัน
- อาการคันจะเป็นเช่นเดียวกับวิธีในการรักษาตัวเรือดกัด ดังนั้นคุณควรทาโลชั่นคาลาไมน์ หรือแป้งที่ทำจากเบกกิ้งโซดา หรือแป้งข้าวโพดผสมกับน้ำ เพื่อลดอาการคัน
- การอาบน้ำข้าวโอ๊ตจะช่วยบรรเทาอาการปวดและอาการคันได้
- กินอาหารที่มีวิตามิน A, B-12 , C และ E รวมทั้งกรดอะมิโนไลซีนเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของคุณ
วิธีป้องกันโรคงูสวัด
วัคซีนสามารถช่วยให้คุณไม่เกิดอาการงูสวัดรุนแรงหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคงูสวัดได้ เด็กทุก ๆ คน ควรได้รับวัคซีนอีสุกอีใส 2 โดส หรือที่รู้จักในชื่อ วัคซีนวาริเซลลา ผู้ใหญ่ที่ไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสควรได้รับวัคซีนนี้ด้วย การฉีดวัคซีนไม่ได้แปลว่าคุณจะไม่เป็นโรคอีสุกอีใสเสมอไป แต่จะสามารถป้องกันได้ใน 9 ใน 10 คนที่ได้รับวัคซีน ผู้ใหญ่ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปควรได้รับวัคซีนโรคงูสวัดหรือที่เรียกว่าการสร้างภูมิคุ้มกันโรค varicella-zoster วัคซีนนี้ช่วยป้องกันอาการรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับโรคงูสวัดได้ ในการฉีดวัคซีน ปัจจุบันมีวัคซีนให้เลือก 2 ชนิดคือ Zostavax (วัคซีนงูสวัดที่มีชีวิตอยู่) และอีกตัวก็คือ Shingrix (วัคซีนงูสวัดลูกผสม) ซึ่ง CDC ได้ระบุว่า Shingrix ถือเป็นวัคซีนที่ดีและมีประสิทธิภาพ และ CDC ยังตั้งข้อสังเกตว่าแม้ว่าคุณจะเคยได้รับ Zostavax มาก่อน คุณก็ควรจะรับวัคซีน Shingrix เพิ่ม (6),(7)
อ้างอิง